ประธานาธิบดีโอบามาได้กล่าวใน American Graduation Initiative ว่า “เราต้องการแรงงานที่จบระดับวิทยาลัยเข้าสู่ระบบอย่างน้อยห้าล้านคน เนื่องจากเศรษฐกิจของชาติขึ้นอยู่กับการศึกษาของแรงงาน”
สิ่งที่เราเชื่อกันมาตลอดคือ คนที่ไม่ได้รับโอกาสทางการศึกษามักเป็นสาเหตุของความซบเซาทางเศรษฐกิจที่เกิดขึ้นบ่อยครั้งมาเป็นเวลานาน โดยเฉพาะอย่างยิ่งจุดเริ่มต้นเศรษฐกิจถดถอยในปี 2008
American Association of Community Colleges ได้สรุปว่า ปัญหาทางด้านการเงินของสหรัฐฯ นั้น 59% เป็นผลมาจากลูกจ้างทุกคนในประเทศนี้จำเป็นต้องมีวุฒิการศึกษาหรือใบประกาศนียบัตรใบที่สองเพิ่ม
ทางด้าน Lumina Foundation ได้ระบุว่าการที่เศรษฐกิจถดถอยภายในปี 2020 ปัจจัยหนึ่งเนื่องมาจากช่องว่างของผู้ที่จบวุฒิการศึกษาหลักสูตรสองปีกับปริญญาตรีสี่ปี จำนวน 20 ล้านคน
ความคิดเห็นที่เน้นว่า การผูกเรื่องเศรษฐกิจเข้ากับจำนวนแรงงานที่จบการศึกษาระดับวิทยาลัยนั้นไม่ใช่สิ่งที่รับประกันได้ โดยจำนวนพนักงานเต็มเวลาลดลง 5.7 ล้านคนจากช่วงเวลาเดือน พฤศจิกายน 2007 ถึงเดือนพฤศจิกายน 2011 ตัวเลขนี้ไม่ได้รวมคนอีกหลายล้านที่สูญเสียงานและยอมแพ้ที่จะหางานใหม่หลังจากที่ประโยชน์จากการชดเชยช่วงเวลาที่ตกงานหมดไป ถึงกระนั้นก็ดีพนักงานที่ถูกเลิกจ้างกลายมาเป็นกลุ่มคนที่ไม่มีทักษะและลืมไปว่าจะทำงานอย่างไร? หรือมีภาระงานที่ลดขนาดลง ใช้ระบบอัติโนมัติมากขึ้นหรือใช้วิธีการจ้างผู้อื่นผลิตแทน
ตัวอย่างเช่น งานหลัก ๆ ส่วนใหญ่ที่ส่งออกไปต่างประเทศก็ส่งต่อให้กับแรงงานที่ได้รับการศึกษาน้อยกว่าชาวอเมริกัน งานเหล่านี้จะไม่วนกลับมาจนกระทั่งการจ่ายค่าจ้างที่กำลังลดลงในสหรัฐฯ ไปพร้อม ๆ กันกับการขึ้นค่าจ้างในประเทศอื่น ใช่แล้ว จนกระทั่งสหรัฐฯ เข้าไปไกล้จุดต่ำสุดในการแข่งขันระดับโลกต่อการจ้างงานราคาต่ำสำหรับงานอย่างเดียวกัน
แนวโน้มการจ่ายค่าจ้างต่ำกว่าก็เป็นหลักฐานที่ดี งานส่วนใหญ่ที่หายไประหว่างช่วงเศรษฐกิจถดถอยคืองานที่มีการจ่ายค่าจ้างในระดับกลาง ๆ แต่ตำแหน่งงานส่วนใหญ่ที่เกิดขึ้นในตอนเศรษฐกิจฟื้นตัวนั้นกลับเป็นงานที่จ่ายค่าจ้างต่ำ งานเหล่านั้นจ่ายค่าจ้างอยู่ที่ 8 ถึง 14 เหรียญฯ ต่อชั่วโมง คิดเป็น 21% ของงานที่หายไประหว่างช่วงเศรษฐกิจถดถอย
แต่การเติบโตของการจ้างงานจากช่วงเวลาปลายปี 2009 จนถึงต้นปี 2012 คิดเป็นอาชีพที่ได้รับค่าจ้างอยู่ในระดับกลาง 58% โดยได้รับค่าแรงอยู่ที่ชั่วโมงละ 21 เหรียญฯ คิดเป็น 60% ของงานที่หายไป แต่มีเพียง 22% เท่านั้นที่มีการจ้างงานใหม่ ยิ่งไปกว่านั้น ในเดือนมิถุนายน กระทรวงแรงงานฯ ได้รายงานว่าตัวเลขคนทำงานแบบไม่ประจำอยู่ที่ 2.7 ล้านคน ซึ่งเป็นตัวเลขที่สูงที่สุดในประวัติศาสตร์
เมื่อเร็ว ๆ นี้ อัตราผู้ว่างงานของสหรัฐฯ ลดต่ำกว่า 7.2% เมื่อคนหลายพันคนกลับเข้าทำงานเดิมก่อนหน้าหรือไม่ก็ได้ทำงานที่ใหม่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งจากการฟื้นตัวของการก่อสร้างที่อยู่อาศัยและอุตสาหกรรมการก่อสร้างได้สร้างอัตราการจ้างงานกว่า 377,000 ตำแหน่งในช่วงสองปีนี้ ช่างไม้จำนวนมาก ช่างประปาและผู้ควบคุมอุปกรณ์ ได้กลับเข้าทำงาน และที่น่าสนใจก็คือหลายคนในนั้นได้รับวุฒิการศึกษาใบที่สองระหว่างที่พวกเขาตกงาน
ความก้าวหน้าในการผลิตของประเทศอื่นนั้นไม่ได้ขึ้นอยู่กับการได้รับการศึกษาเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ หลายปีมานี้ระบบหลักสูตรการสร้างทักษะการทำงานในญี่ปุ่นและยุโรปตอนเหนือเป็นแนวทางที่ได้รับความนิยมในการเตรียมภาคแรงงาน มีการเตรียมการเรียนเทคนิคช่วงสั้น ๆ และหลักสูตรที่เกี่ยวกับวิชาชีพอีกด้วย
College Board’s College Completion Agenda ซึ่งมีเป้าหมายในการที่จะให้ประชาชนชาวอเมริกันจำนวน 55% มีการศึกษาในระดับวิทยาลัยภายในปี 2025 วิทยาลัยชุมชนและสถาบันการศึกษาที่เอกชนก็เข้ามามีส่วนร่วมมากขึ้น โดยรายได้จากค่าเล่าเรียนเกือบจะทั้งหมดจะได้มาจากเงินอุดหนุนโดยโครงการช่วยเหลือนักศึกษาของรัฐบาล ส่งผลให้ธุรกิจจำนวนมากมายมีแรงงานที่มีทักษะโดยที่แบกภาระต้นทุนของบริษัทน้อยลง และแรงงานชาวอเมริกันสามารถเพิ่มความถนัดของพวกเขาเข้าไปในประวัติการทำงานได้อีกอย่างหรือสองอย่าง แต่คำถามที่ยังคงอยู่ก็คือว่า วุฒิการศึกษาใหม่และใบประกาศนียบัตรที่พวกเขาได้รับนั้นจำเป็นหรือไม่ ?
การวิจัยของสถาบันนโยบายทางเศรษฐกิจ เรื่องข้อมูลการจ้างงาน พบว่า มีพนักงานจำนวน 52% ที่มีวุฒิการศึกษาที่มีอายุต่ำกว่า 24 ปี กำลังทำงานที่ไม่ต้องการวุฒิการศึกษา หรือมองในอีกแง่ มีคนทำงานจำนวน 21 ล้านคนที่ได้รับค่าจ้างต่ำกว่า $10.01 เหรียญฯ ต่อชั่วโมง โดย 3.57 ล้านคนมีวุฒิการศึกษาระดับมหาวิทยาลัยและยังมีแรงงานอีกกว่า 5.46 ล้านคนที่มีวุฒิการศึกษาอยู่บ้างอย่างตัวแทนขาย พนักงาน แคชเชียร์และบริกรร้านอาหารที่มีวุฒิปริญญาตรีแต่ไม่ได้หมายความว่าพวกเขาต้องการใช้มันสมัครงาน
แน่นอนว่าการศึกษาในระดับสูงย่อมเป็นที่ต้องการ โดยชุมชนจะมีคนที่มีความเข้าอกเข้าใจผู้อื่นมากขึ้น คนที่จะลงคะแนนและมีส่วนร่วมในเรื่องราวของเมืองและมีแนวโน้มน้อยมากในการที่จะพึ่งพาการช่วยเหลือจากรัฐบาลหรือเผชิญกับพฤติกรรมต่อต้านสังคม มีการเรียนรู้ของแต่ละบุคคลเพื่อให้มีเหตุผลทางวิทยาศาสตร์และและรู้สึกได้ถึงมุมมองทางประวัติศาสตร์และความภูมิใจในความงามและความหลากหลายทางวัฒนธรรม
ความคิดที่ว่าหากใครไม่มีวุฒิการศึกษาถูกกำหนดให้เป็นคนตกงานนั้นเป็นความเข้าใจผิดที่มีกันอย่างกว้างขวาง เมื่อการไม่มีวุฒิการศึกษาตกเป็นจำเลยของสังคมว่าเป็นสาเหตุของการถดถอยทางเศรษฐกิจว่าเป็นความไม่มีทักษะของคนทำงาน จำนวนผู้ว่างงานที่สูงนั้นไม่ได้เนื่องมากจากการขาดการได้รับการศึกษาที่ถูกต้องของหากแต่ตัวเลขดังกล่าวได้สะท้อนให้เห็นถึงความต้องการสินค้าและบริการที่ลดลง ซึ่งทำให้หน่วยธุรกิจโดยเจ้าของกิจการไม่จำเป็นต้องจ้างใครเพิ่มไม่ว่าจะมีการศึกษาระดับไหนก็ตาม